5 พ.ย. ชี้ชะตาภาษีทรัมป์-ชัตดาวน์ยืดเยื้อ กดดันราคาทองระยะสั้น

3 พ.ย. 2568 - 03:38

  • 5 พ.ย. ศาลฎีกานัดไต่สวนภาษีทรัมป์ ชี้ทิศทองคำ

  • ชัตดาวน์สหรัฐฯ เข้าสัปดาห์ที่ 5 ความเสี่ยงเศรษฐกิจเพิ่ม

  • เฟดชะลอลดดอกเบี้ย & ดอลลาร์แข็ง ทองรอเลือกทิศ

5 พ.ย. ชี้ชะตาภาษีทรัมป์-ชัตดาวน์ยืดเยื้อ กดดันราคาทองระยะสั้น

ฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยบทวิเคราะห์ประจำสัปดาห์ โดยระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลง (-109.07) ดอลลาร์ หรือราว (-2.65%) สู่ระดับ 4,002 ดอลลาร์ โดยเป็นการปรับตัวลงในสัปดาห์ที่ 2 หลังจากทำ All-time High ที่ 4,381 ดอลลาร์ จากการที่ตลาดทองได้รับรู้ปัจจัยลบจากการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน – สหรัฐฯ และการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 29-30 กันยายนไปแล้วพอสมควร ทำให้ราคาทองคำเริ่มมีการปรับฐานลงหลังจากเกิดปัจจัยดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ยังคงมีปัจจัยสำคัญต่อราคาทองที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากอดีต และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสัปดาห์นี้โดยตรง ดังนี้



สหรัฐฯ–จีน บรรลุข้อตกลง เปลี่ยนชะตาการค้าโลก

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวต่อหน้าผู้สื่อข่าวว่า แร่ธาตุหายาก ถั่วเหลือง และเฟนทานิล คือเป็นประเด็นสำคัญของสหรัฐฯ และในวันที่ 30 ตุลาคม การเจรจาการค้าระหว่างจีน – สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงหลายประการได้ข้อสรุปดังนี้ บทสรุป 3 ประเด็นหลักที่สหรัฐฯเจรจากับจีน ได้แก่

·      แร่หายาก (Rare Earths):สี จิ้นผิง – ทรัมป์ ได้จับมือกันหลังจบการเจรจาชั่วโมงครึ่งในวันพฤหัสบดี ซึ่งคาดว่าจีนจะระงับระบบการอนุญาตสำหรับแร่ธาตุหายากเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี

·      ถั่วเหลือง: จีนได้ตกลงกลับมาซื้อถั่วเหลืองอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ตามคำกล่าวของนายสก็อตต์ เบสเซนต์ ในวันที่ 26 ตุลาคม

·      เฟนทานิล: ทรัมป์ได้กล่าวบนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน ว่าจะลดภาษี 20% เหลือ 10% ที่กำหนดกับสินค้าส่งออกสารเคมีตั้งต้นเฟนทานิลจากจีน

·      สหรัฐฯ ยกเลิกแผนการเก็บภาษีนำเข้า 100% ที่ทรัมป์ขู่ไว้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2.ลดภาษีนำเข้าจากจีนลงสู่ระดับ 47% จาก 57%

อย่างไรก็ตาม การเจรจาการค้าระหว่างจีน – สหรัฐฯ ยังไม่ได้ให้ผลลัพธ์ในเชิงโครงสร้างอย่างที่ทรัมป์เคยให้สัญญาว่าจะแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจ และผลของการประชุมครั้งนี้เป็นเพียงการหยุดพักรบชั่วคราวในศึกชิงความเป็นใหญ่ที่อาจยืดเยื้อไปอีกหลายปี เนื่องจากทรัมป์ใช้โอกาสเยือนเอเชียครั้งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ พร้อมกับดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเรือและแร่หายากเพื่อให้สหรัฐฯ อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการเจรจากับสี จิ้นผิงในปีหน้า ขณะที่ทางฝั่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพิ่งเปิดแผน 5 ปีฉบับใหม่ที่เน้นสร้างความก้าวหน้าในเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้านชิปขั้นสูง เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ขึ้นตรงกับสหรัฐฯ

กล่าวโดยสรุปก็คือ สหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” เพื่อใช้เป็นอาวุธในการต่อรองกับจีน ในขณะที่จีนพยายามตัดห่วงโซ่อุปทานจากสหรัฐฯ เพื่อให้ตนยังสามารถคงอยู่ได้ ตามยุทธศาสตร์ชาติของตน ซึ่งทองคำจะยังคงได้รับปัจจัยบวกนี้ จากภูมิรัฐศาสตร์ที่ทยอยร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับ “การต้มกบ” นั่นเอง

5 พ.ย. ชี้ชะตา! 'ภาษีทรัมป์'

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 กันยายน ศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้กำหนดวันนัดฟังการแถลงด้วยวาจา (oral arguments) ในวันที่ 5 พ.ย. นี้ เกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของมาตรการภาษีศุลกากรทั่วโลกของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากเมื่อวันที่ 9 กันยายน ศาลฎีกาได้รับพิจารณาคดีนี้ สืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้ตัดสินเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ว่าภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของทรัมป์ได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการกำหนดภาษีส่วนใหญ่ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลางที่ใช้ในกรณีฉุกเฉิน หรือ IEEPA ทั้งนี้ อัตราภาษีศุลกากรยังคงมีผลบังคับใช้ในระหว่างการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา และคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ได้ครอบคลุมภาษีอื่นๆ ที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ ที่ทรัมป์อ้างว่าเป็นภัยต่อ “ความมั่นคงแห่งชาติ” และไม่รวมถึงภาษีจีนในสมัยแรกของทรัมป์ ซึ่งปธน.โจ ไบเดน ยังคงไว้ เพราะสืบสวนพบว่าจีนใช้วิธีการที่ไม่เป็นธรรมเพื่อสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีในประเทศตนเอง           

จากปัจจัยข้างต้น จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ตลาดต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นการพบปะกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลกลางที่เป็นตัวแทนของปธน.ทรัมป์ และ ฝ่ายที่โต้แย้งเรื่องภาษี นำโดยทนายฝ่ายผู้นำเข้าสินค้าและรัฐบาลของรัฐถ้องถิ่นต่างๆ ซึ่งหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อมูลที่ไม่หนักแน่นพอ อาจมีผลต่อรูปคดีและคำตัดสินที่มีผลกระทบต่อราคาทองได้ในภายหลัง

ชัตดาวน์สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5

การชัตดาวน์ ซึ่งกลายเป็นการหยุดทำงานที่ยาวนานอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ และกำลังจะขึ้นแซงหน้าภาวะชัตดาวน์ในช่วงวันที่ 22 ธันวาคม 2018 – 25 มกราคม 2019 (35วัน) เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง พรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ พรรคเดโมแครต ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นการขยายเวลาการอุดหนุนประกันสุขภาพสำหรับชาวอเมริกันหลายล้านคน ทั้งนี้ ฝ่ายรีพับลิกันในวุฒิสภากำลังเผชิญแรงกดดันให้ ยกเลิกเกณฑ์เสียงข้างมาก 60 เสียง (filibuster) เพื่อผลักดันร่างงบประมาณให้ผ่านได้โดยไม่ต้องพึ่งเสียงจากเดโมแครต แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณของข้อตกลง

การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ย่างเข้าสู่วันที่ 34 หรือ 1 เดือนกว่าแล้ว ส่งผลให้การปิดหน่วยงานรัฐได้เริ่มส่งผลกระทบที่ขยายตัวมากขึ้น โดยทางรัฐบาลกลางได้ออกมาเตือนว่า โครงการสวัสดิการอาหาร (SNAP) หรือโครงการสแตมป์อาหาร จะยุติลงในวันที่ 1 พ.ย. ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันราว 42 ล้านคน ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงทรุดตัวและการเกิดความไม่พอใจในฝูงชนของชาวอเมริกันได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐ (CBO) เปิดเผยว่า การปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Government Shutdown) ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้วอย่างน้อย 18,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และ CBO ยังได้คาดการณ์ว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์ต่ออีก 6 และ 8 สัปดาห์ GDP ของสหรัฐฯ ในไตรมาส 4 ปีนี้ อาจสร้างความเสียหายเพิ่มเติมถึง 28,000 ล้านดอลลาร์ และ 39,000 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ

การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังไม่ส่งสัญญาณผ่อนคลายชัดเจน

ในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 29-30 ตุลาคม คณะกรรมการเฟด(FOMC) มีมติ 10-2 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% และได้ประกาศยุติการใช้นโยบายคุมเข้มเชิงปริมาณ (QT) ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้แสดงถึงความไม่แน่นอนในการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนธ.ค. อีกทั้งพาเวลยังได้กล่าวถึงความยากลำบากที่เพิ่มขึ้นในการกำหนดนโยบายโดยไม่ต้องใช้ข้อมูลของรัฐบาลกลางอันเนื่องมาจากภาวะชัตดาวน์ ซึ่งส่งผลให้ตลาด CME FedWatch ที่ได้คาดการณ์ว่า เฟดอาจตรึงดอกเบี้ยที่ 3.75% - 4.00% ในเดือน ธ.ค. จาก 9.1% เป็น 67.8%

จากปัจจัยข้างต้น ส่งผลให้ตลาดทองคำได้เริ่มรับรู้ถึงความเป็นไปได้ที่เฟดได้เริ่มเข้าสู่โหมดระมัดระวังและทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) กลับมาแข็งค่าอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นักยุทธศาสตร์จากธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JP Morgan ได้ออกมาคาดการณ์ว่า เฟดอาจดำเนินการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย (QE) อีกครั้งในช่วงต้นปี 2026 ซึ่งอาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อขยายตัวขึ้นได้ในภายหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดยังคงต้องจับตาดูต่อไป

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์หน้า


วันที่ 3 พ.ย. เวลา 22.00 น. ดัชนี PMI ภาคการผลิตจาก ISM เดือนต.ค. และ ดัชนีราคาภาคการผลิตจาก ISM เดือนต.ค.

วันที่ 4 พ.ย. เวลา 22.00 น. จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครใหม่จาก JOLTS เดือน (ล้านตำแหน่ง) เดือนก.ย.

วันที่ 5 พ.ย. เวลา 20.15 น. การจ้างงานนอกภาคเกษตรจาก ADP เดือนต.ค.

แนวโน้มราคาทอง

ราคาทองคำโลกในสัปดาห์นี้คาดว่าในทางเทคนิคได้มีการฟื้นตัวขึ้นทะลุกรอบ Falling Wedge และในระยะสั้นได้ยังคงทรงตัวในกรอบ Flag Pattern ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงภาวะ “เริ่มฟื้นตัวและรอเลือกทาง” หลังจากตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบด้านเฟดและการเจรจาระหว่างจีน - สหรัฐฯ ไปพอสมควรแล้ว

ในสัปดาห์นี้ หากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์ไม่มีความผิด และภาวะชัตดาวน์ยังคงยืดเยื้อ อาจส่งผลให้ทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 4,140 และ 4,190 ดอลลาร์ ซึ่งอาจกระตุ้นแรงซื้อในตลาดทองคำได้รอบใหม่ อย่างไรก็ตาม หากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ภาษีศุลกากรของปธน.ทรัมป์มีความผิด และ ภาวะชัตดาวน์สิ้นสุดลง อาจทำให้ทองคำปรับตัวลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 3,890 และ 3,815 ดอลลาร์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ตลาดมีการปรับฐานลงอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน

สำหรับทองคำแท่งในประเทศ แนะนำให้นักลงทุน ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลง ใกล้บริเวณ 59,900 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 59,500 บาท ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 62,100 บาท และ 62,500 บาท

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์