สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาข้าวในปีนี้ โดยยืนยันว่า ราคาข้าวอยู่ในเกณฑ์ดีอย่างชัดเจน และสอดคล้องกับเสียงสะท้อนเชิงบวกจากเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนาผู้ปลูกข้าวหอมมะลิในจังหวัดศรีสะเกษ ที่ระบุว่าราคาข้าวหอมมะลิ (ราคาที่ไม่คิดความชื้น) อยู่ที่กิโลกรัมละ 13 บาท 20 สตางค์ ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่สูงจนชาวนาพอใจอย่างมาก เมื่อเทียบกับช่วงตกต่ำในปีก่อนที่บางช่วงราคาเหลือเพียง 7–9 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น
ระบายสต็อก-ข้าวกัมพูชาไม่ตีตลาด
โฆษกรัฐบาลชี้ว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาข้าวปีนี้ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ มาจากมาตรการของรัฐบาลในการเร่งระบายสต็อกข้าวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ที่ไม่มีข้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เข้ามาตีตลาดไทยเหมือนในอดีต ส่งผลให้กลไกราคาข้าวในประเทศเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล
ย้ำ สินเชื่อชะลอขาย-หนุนมูลค่าเพิ่ม
สิริพงศ์ กล่าวว่า รัฐบาลเลือกใช้นโยบายที่สอดคล้องกับกลไกตลาดโลก โดยหลีกเลี่ยงแนวทางการบิดเบือนราคาในอดีต เช่น การจำนำหรือการประกันราคาระดับสูง แต่ได้ออกมาตรการสำคัญคือ ‘สินเชื่อชะลอการขายข้าว’ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถรอช่วงที่ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น โดยรัฐบาลจัดงบประมาณสนับสนุนให้เกษตรกรกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก่อน และนำเงินมาคืนเมื่อขายข้าวได้แล้ว
“รัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการฝากข้าวในยุ้งฉาง โดยรัฐจะแปรรูปข้าวส่วนหนึ่งเป็นข้าวสารเพื่อเพิ่มมูลค่าในระบบอีกด้วย”
— สิริพงศ์ กล่าว
โฆษกรัฐบาลยอมรับว่า ในช่วงก่อนหน้านี้ ราคาข้าวเคยตกต่ำเนื่องจากปริมาณผลผลิตจำนวนมากไหลเข้าตลาด ทั้งข้าวเก่าและข้าวใหม่ เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลชุดก่อนที่ส่งสัญญาณให้ทำการเพาะปลูกเต็มที่และสนับสนุนการทำนาปรังเพิ่มในช่วงต้นปีเพราะคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดปัจจุบันได้เร่งแก้ไขด้วยการระบายสต็อกและสนับสนุนให้เกษตรกรชะลอขายเพื่อผลักดันราคาให้กลับมาดีขึ้น
แผนหลังนาปี - จูงใจปรับปลูกพืชอื่นชั่วคราว 1 ล้านไร่
สำหรับทิศทางหลังฤดูกาลนาปี รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมเกษตรกรที่ปรับไปปลูกพืชชนิดอื่นชั่วคราว โดยมีการให้เงินสนับสนุนไร่ละ 2,000 บาท เพื่อบริหารดุลยภาพของอุปสงค์-อุปทาน (Demand-Supply) ของประเทศ
“เราคาดหวังว่าจะมีพื้นที่ประมาณ 1 ล้านไร่ ที่เกษตรกรปรับไปปลูกพืชอื่นในรอบการผลิต ไม่ใช่ตลอดไป” โฆษกรัฐบาลย้ำ พร้อมชี้ว่า รัฐบาลเพียงเสนอทางเลือก ไม่ได้สั่งให้ชาวนาเปลี่ยนพืชปลูก แต่ต้องการให้พิจารณาตามหลักการตลาดและรายได้ที่มั่นคงขึ้น
สิริพงศ์ ยังได้กล่าวถึงพืชเศรษฐกิจศักยภาพสูงที่รัฐบาลพร้อมสนับสนุน เช่น กล้วยหอมทอง ที่มีตลาดรองรับในประเทศญี่ปุ่นอย่างมาก, ทุเรียน และ มะพร้าว หากเกษตรกรสนใจปรับเปลี่ยนชนิดพืชปลูก หน่วยงานรัฐพร้อมสนับสนุนองค์ความรู้และระบบตลาดอย่างเต็มที่


