ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของยุโรปจะเข้าร่วมการประชุมกับประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซุลา ฟอน เดอร์ ไลเยน เพื่อกดดันให้สหภาพยุโรปทบทวนแผนการห้ามจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035
อุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปที่กำลังประสบปัญหาจากการแข่งขันที่รุนแรงจากจีนและการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ราบรื่น กำลังผลักดันให้บรัสเซลส์ทบทวนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมใหม่
อุตสาหกรรมเรียกร้องความยืดหยุ่น
ซิกริด เดอ วรีส์ ผู้อำนวยการของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) กล่าวว่า กฎระเบียบที่ใช้ไม่มีส่วนช่วยสร้างความสำเร็จ ต้องปรับให้เข้ากับความเป็นจริง แนวทางปฏิบัติต้องเหมาะสมกว่านี้
การประชุมที่บรัสเซลส์เป็นครั้งที่สามภายใต้โครงการของสหภาพยุโรปที่เริ่มขึ้นในเดือนมกราคม เพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่จ้างงานประชากร 13 ล้านคนและคิดเป็น 7% ของ GDP ยุโรป
ข้อจำกัดหลายด้าน
ผู้ผลิตรถยนต์ได้ส่งหนังสือ ฟอน เดอร์ ไลเยน เมื่อเดือนสิงหาคม ระบุปัญหาหลายประการ รวมถึงการพึ่งพาเอเชียในการผลิตแบตเตอรี่ ต้นทุนการผลิตที่สูง และภาษีสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเป็น 15% ภายใต้ข้อตกลงกับบรัสเซลส์
นอกจากนี้ยังมีปัญหาการกระจายสถานีชาร์จที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งคิดเป็นเพียง 15% ของรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายทั่วยุโรปยังไม่เป็นไปตามคาด
โอลา เคลเลนิอุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมอร์เซเดส-เบนซ์ และมัตเธียส ซิงค์ จากแชฟเฟลอร์ เปรียบเทียบว่า ‘เรากำลังถูกขอให้เปลี่ยนแปลงในขณะที่มือถูกมัด’
การต่อต้านจากกลุ่มสิ่งแวดล้อม
พวกเขาเรียกเป้าหมายปี 2035 ว่า ‘ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป’ และเรียกร้องแรงจูงใจ เช่น การลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า พวกเขายังต้องการเปิดพื้นที่มากขึ้นสำหรับรถไฮบริดแบบปลั๊กอิน รถเครื่องยนต์สันดาปที่มีประสิทธิภาพสูง และยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษต่ำแต่ไม่ใช่ศูนย์
มุมมองนี้ถูกคัดค้านโดยกลุ่มสิ่งแวดล้อมและธุรกิจในภาครถยนต์ไฟฟ้ากว่า 150 แห่ง ซึ่งได้แสดงจุดยืนกับ ฟอน เดอร์ ไลเยนเรียกร้องให้เธอ ‘ยืนหยัด’ ตามนโยบายเดิม
สัญญาณการปรับเปลี่ยน
ในการปราศรัยขอฟอน เดอร์ ไลเยน มีแนวโน้มว่าการปรับเปลี่ยนอาจเกิดขึ้นได้ โดยกล่าวว่า กำลังเตรียมทบทวนแผนปี 2035 ซึ่งหมายถึงข้อเรียกร้องของผู้ผลิตรถยนต์ที่ไม่เพียงแต่รถยนต์ไฟฟ้าแต่รวมถึงเทคโนโลยีที่ปล่อยมลพิษต่ำจะได้รับอนุญาตในตลาดหลังปี 2035
นอจากนี้ยังประกาศแผนสำหรับโครงการรถยนต์ขนาดเล็กราคาถูก เพื่อให้ยุโรปมีรถ E-car ของตัวเอง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่และยังย้ำความมุ่งมั่นที่จะจัดหาเงิน 1.8 พันล้านยูโร (2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่ในยุโรปด้วย