อีเมลหลอกลวง วิกฤตโลกขโมยเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

9 พ.ย. 2568 - 07:32

  • ทุกวันมีอีเมลฟิชชิ่งกว่า 3.4 พันล้านฉบับถูกส่งทั่วโลก

  • ผู้ร้ายขโมยเงินทั่วโลกกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา

  • คนทุกวัยเสี่ยงต่อการถูกหลอก แม้แต่วัยรุ่นที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยี

อีเมลหลอกลวง วิกฤตโลกขโมยเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

วิกฤตอีเมลหลอกลวงที่โลกต้องเผชิญ

ในยุคดิจิทัลที่เราใช้อีเมลเป็นเครื่องมือสื่อสารหลัก ความมืดมิดของโลกไซเบอร์กำลังคุกคามเราทุกวัน ด้วยอีเมลหลอกลวงกว่า 3.4 พันล้านฉบับที่ถูกส่งทั่วโลกในแต่ละวัน สถิติที่น่าสะเทือนใจนี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผู้คนสูญเสียเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

การศึกษาจาก Trend Micro บริษัทรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ชั้นนำของโลก เผยให้เห็นความจริงที่น่าตกใจ กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการโจมตีทางไซเบอร์เริ่มต้นจากอีเมล ทำให้อีเมลกลายเป็น 'ประตูหน้า' สำหรับอาชญากรไซเบอร์ที่ต้องการเจาะเข้าสู่ระบบต่างๆ

ฟิชชิ่งและการหลอกลวงทางอีเมล: เข้าใจให้ลึกซึ้ง

คำว่า 'ฟิชชิ่ง' หมายถึงการหลอกลวงที่ซับซ้อนที่ผู้ร้ายสวมรอยเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือ เช่น ธนาคาร บริษัทเทคโนโลยี หรือหน่วยงานราชการ เพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและเงิน การโจมตีแบบนี้ไม่ได้อาศัยแค่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ใช้การจัดการทางจิตวิทยาเป็นอาวุธหลัก

อีเมลหลอกลวงมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การหลอกรัก ที่ผู้ร้ายสร้างความสัมพันธ์เสมือนจริงเป็นเดือนๆ ก่อนเรียกเงิน ไปจนถึงการหลอกเรื่องการลงทุน ที่สัญญาผลตอบแทนสูงผิดปกติ และการแอบอ้างเป็นเจ้านายเพื่อสั่งโอนเงินด่วน

ตัวเลขที่สะเทือนใจของวิกฤตโลก

ข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่าทุกปีมีผู้คนประมาณ 608 ล้านคน หรือ 1 ใน 12 คนของประชากรโลกตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว ผู้บริโภคสูญเสียเงินไป 12.5 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน

สำหรับองค์กรต่างๆ ความเสียหายจากการโจมตีฟิชชิ่งยิ่งร้ายแรงกว่า ค่าเสียหายเฉลี่ยจากการรั่วไหลข้อมูลอยู่ที่กว่า 4 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง และเมื่อเป็นการโจมตีผู้บริหารระดับสูงที่เรียกว่า 'วาฬฟิชชิ่ง' ความเสียหายสามารถสูงถึง 47 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง

Google เพียงแต่บริษัทเดียวต้องปิดกั้นอีเมลฟิชชิ่งประมาณ 100 ล้านฉบับทุกวัน แต่ก็ยังมีอีเมลหลอกลวงจำนวนมากที่หลุดเข้าถึงเหยื่อได้สำเร็จ

ใครเสี่ยงมากที่สุด: ข้อมูลที่อาจทำให้คุณต้องตกใจ

ข้อมูลการวิจัยล่าสุดเผยให้เห็นความจริงที่คาดไม่ถึง คนรุ่นใหม่อายุ 18-40 ปี ที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยี กลับเป็นเหยื่อของฟิชชิ่งถึง 23 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าคนวัย 41-55 ปีที่มีเพียง 19 เปอร์เซ็นต์

สาเหตุที่น่าสนใจคือคนรุ่นใหม่ใช้โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์บ่อยกว่า ทำให้เจออีเมลหลอกลวงบ่อยขึ้น นอกจากนี้ พวกเขายังมีความเชื่อมั่นในระบบดิจิทัลมากกว่า ซึ่งผู้ร้ายสามารถใช้ประโยชน์จากความเชื่อใจนี้ได้

ผู้สูงอายุยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญในบางประเภทการหลอกลวง โดยเฉพาะการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ซ่อมคอมพิวเตอร์และการหลอกรัก เพราะพวกเขาอาจรู้สึกโดดเดี่ยวและต้องการความรัก

รูปแบบการหลอกลวงที่หลากหลายและซับซ้อน

การขโมยรหัสผ่านและข้อมูลส่วนตัว

อีเมลฟิชชิ่งแบบดั้งเดิมจะปลอมเป็นธนาคาร เว็บช้อปปิ้ง หรือบริการคลาวด์ที่คุณใช้อยู่ อีเมลจะบอกว่าบัญชีของคุณมีปัญหา ต้องการให้คุณคลิกลิงก์เพื่อยืนยันตัวตน แต่จริงๆ แล้วเป็นการนำคุณไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ออกแบบมาให้เหมือนเว็บไซต์จริงทุกประการ

การวิเคราะห์พบว่า 45 เปอร์เซ็นต์ของอีเมลฟิชชิ่งจะปลอมเป็น Microsoft และอีก 17 เปอร์เซ็นต์จะใช้ธีมเกี่ยวกับการเงิน เมื่อคุณกรอกรหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม ผู้ร้ายจะได้รหัสผ่านจริงของคุณไปใช้ในทันที

การหลอกลวงองค์กรและปลอมเป็นเจ้านาย

การหลอกลวงองค์กรหรื่อ Business Email Compromise เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนและสร้างความเสียหายมหาศาล ผู้ร้ายจะศึกษาโครงสร้างองค์กรอย่างละเอียด แล้วปลอมเป็นผู้บริหารระดับสูง เช่น CEO หรือ CFO ส่งอีเมลให้พนักงานในแผนกการเงินเพื่อสั่งโอนเงินด่วน

ที่ร้ายแรงคือผู้ร้ายจะใส่คำสั่งให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานไปตรวจสอบกับผู้บริหารคนจริง บางครั้งผู้ร้ายยังแก้ไขใบแจ้งหนี้ของซัพพลายเออร์ เปลี่ยนเลขบัญชีให้เป็นบัญชีของตัวเอง

การหลอกรักและการหลอกลงทุน

การหลอกรักเป็นการจัดการทางจิตวิทยาที่โหดร้าย ผู้ร้ายจะสร้างโปรไฟล์ปลอมในแอปหาคู่ ใช้รูปขโมยมาจากที่อื่น แล้วสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อเป็นเดือนๆ เมื่อสร้างความไว้วางใจได้แล้ว จึงเริ่มเรียกเงินด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ญาติป่วย ต้องการเงินเดินทางมาพบ หรือมีโอกาสลงทุนดีๆ

เหยื่อของการหลอกรักมักสูญเสียเงินเฉลี่ย 2,000 ดอลลาร์ต่อครั้ง และยิ่งไปกว่านั้น คือความเสียหายทางจิตใจที่ยาวนาน รู้สึกถูกหักหลัง อับอาย และกลัวที่จะไว้ใจใครอีก

การหลอกลงทุนจะสร้างแพลตฟอร์มเทรดดิ้งปลอมที่ดูเหมือนจริง มีเว็บไซต์สวยงาม เอกสารครบถ้วน และรีวิวจากนักลงทุนปลอม เมื่อเหยื่อฝากเงินเข้าไป ระบบจะแสดงว่าเงินเพิ่มขึ้น แต่เมื่อจะถอนเงิน กลับไม่สามารถทำได้ด้วยข้ออ้างต่างๆ

เทคโนโลยี AI ทำให้การหลอกลวงก้าวหน้าขึ้น

ปัญหาใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นคือการใช้ปัญญาประดิษฐาตในการหลอกลวง ผู้ร้ายสามารถใช้ AI สร้างเสียงปลอม ภาพปลอม และข้อความที่เหมือนจริงมากขึ้น การพัฒนาเครื่องมือแปลภาษาที่ก้าวหน้าทำให้ผู้ร้ายที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ สามารถสร้างอีเมลหลอกลวงที่ดูเป็นธรรมชาติได้

นอกจากนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ยังช่วยให้ผู้ร้ายสามารถหาเป้าหมายที่เหมาะสมได้แม่นยำยิ่งขึ้น และปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับความสนใจของเหยื่อแต่ละคนได้เป็นรายบุคคล

วิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

การป้องกันการหลอกลวงทางอีเมลต้องอาศัยทั้งเทคโนโลยีและความตระหนักรู้ของผู้ใช้ สำหรับองค์กร ควรมีการฝึกอบรมพนักงานเป็นประจำ ติดตั้งระบบกรองอีเมล และกำหนดกระบวนการตรวจสอบการโอนเงินที่เข้มงวด

สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ควรระมัดระวังอีเมลที่ร้องขอข้อมูลส่วนตัว การคลิกลิงก์ หรือการโอนเงิน ตรวจสอบที่อยู่ผู้ส่งอย่างละเอียด และติดต่อองค์กรนั้นๆ โดยตรงหากมีข้อสงสัย

การใช้การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับบัญชีต่างๆ ได้อย่างมาก แม้ผู้ร้ายจะได้รหัสผ่านไป ก็ยังเข้าบัญชีไม่ได้หากไม่มีรหัสจากขั้นตอนที่สอง

เมื่อโลกดิจิทัลก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การรู้เท่าทันภัยคุกคามใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น คำถามคือ หากเทคโนโลยี AI ของผู้ร้ายพัฒนาไปถึงจุดที่แยกแยะไม่ได้ระหว่างของจริงกับของปลอม เราจะสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างไร?

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์