ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีความผันผวน ปรับตัวขึ้น - ลง ต่อเนื่อง ทำให้กระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกของประเทศไทย ประกอบด้วย

ต้นทุนเนื้อน้ำมัน 60 - 70% (ราคาหน้าโรงกลั่น) อ้างอิงตามราคาตลาดในภูมิภาค สำหรับภูมิภาคอาเซียน จะอ้างอิงตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อ - ขาย น้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชีย โดยราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์นี้ไม่ใช่ราคาที่ประกาศโดยประเทศสิงคโปร์ หรือ โรงกลั่นสิงคโปร์ แต่เป็นราคาที่ผู้ค้าจากทั่วทุกมุมของเอเชียเข้ามาตกลงซื้อ - ขาย ผ่านตลาดกลางแห่งนี้
ภาษีและกองทุน 25 - 30% ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต + ภาษีเทศบาล + ภาษีมูลค่าเพิ่ม + กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง + กองทุนอนุรักษ์พลังงาน โดยภาครัฐเป็นผู้กำหนดและบริหารอัตราการจัดเก็บ
ค่าการตลาด 5% เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ใช้ในการขายน้ำมันที่สถานีบริการ ซึ่งยังไม่ใช่กำไรสุทธิ อาทิ ค่าพนักงาน ค่าน้ำไฟ ค่าส่วนลดโปรโมชั่น ฯ ของเจ้าของสถานีบริการและผู้ค้าน้ำมัน
จากโครงสร้างราคาน้ำมันฯ ข้างต้นจะเห็นได้ว่าสัดส่วนของต้นทุนเนื้อน้ำมัน 60 - 70% อ้างอิงตามราคาตลาดในภูมิภาค สำหรับภูมิภาคอาเซียน จะอ้างอิงตามตลาดสิงค์โปร์ มาจากต้นทุนน้ำมันดิบและค่าใช้จ่ายต่างๆ ของโรงกลั่น

สำหรับภาษีและกองทุน 25 - 30% ภาครัฐเป็นผู้กำหนดและบริหารอัตราการจัดเก็บ ซึ่งประกอบด้วย
ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงโดยกรมสรรพสามิต โดยอัตราภาษีจะเป็นไปตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันแต่ละชนิด
ภาษีบำรุงเทศบาล เป็นภาษีที่ต้องจ่ายให้หน่วยงานท้องถิ่น เช่น กรุงเทพมหานคร เทศบาล ตามที่หน่วยงานท้องถิ่นนั้นประกาศกำหนดโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ. 2497 ซึ่งโดยปกติจะคิดในอัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีการบริโภคที่จัดเก็บเมื่อมีการขายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศโดยกรมสรรพากร ประกอบด้วย ภาษีมูลค่าเพิ่มจากราคา ณ โรงกลั่น และ ภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าการตลาด
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตเชื้อเพลิงในอัตราสูง
กองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน
ส่วนค่าการตลาด อีกประมาณ 5% เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ใช้ในการขายน้ำมันที่สถานีบริการ ซึ่งยังไม่ใช่กำไรสุทธิ อาทิ ค่าพนักงาน ค่าน้ำไฟ ค่าส่วนลดโปรโมชั่น ฯ ของเจ้าของสถานีบริการและผู้ค้าน้ำมัน
ประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 152,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูป อยู่ที่ประมาณ 1,032,000 บาร์เรล/วัน จึงต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบประมาณ 981,548 บาร์เรลต่อวันเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานภายในประเทศ ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน ปี 2566 รายงานว่าความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 2.7% ต่อปี โดยในส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป ปี 2566 พบว่าประเทศไทยมีการผลิตอยู่ที่ 174 ล้านลิตร/วัน มีการใช้งานที่ 152 ล้านลิตร/วัน และนำเข้าอยู่ที่ 9 ล้านลิตร/วัน

ทั้งนี้ ยังมีความเข้าใจผิดว่า ประเทศไทยมีการส่งออกน้ำมัน เนื่องจากมีน้ำมันเหลือใช้มากมาย แต่ในความจริงแล้ว ประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบได้แค่ประมาณ 10% ของปริมาณการใช้เท่านั้น และบางส่วนมีสารปนเปื้อนสูงเกินกว่าที่โรงกลั่นในประเทศจะรับได้จึงจำเป็นต้องส่งออก ดังนั้นน้ำมันดิบส่วนที่ขาดจึงต้องมีการนำเข้าอีกกว่า 90% โดยประเทศไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางประมาณ 57% ตะวันออกไกล 19% และแหล่งอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ลิเบีย ออสเตรเลีย อีกรวม 24%
ทำไมราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง แต่ราคาขายปลีกน้ำมันไทยไม่ลดลง ?
เนื่องจากกลไกการบริหารกองทุนมีทั้งเก็บเงินเข้า (+) และชดเชยราคา (-) ในบางครั้งที่สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง อาจมีการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันไม่ลดลง / ลดลงช้ากว่าตลาดโลกในช่วงนั้น ๆ

การกำหนดราคาน้ำมันในแต่ละประเทศ เชิงเปรียบเทียบ
เชื้อเพลิงที่นำมาใช้ผลิตพลังงาน เป็นสินค้าที่ค่อนข้างมีความเป็นสากล มีความผันผวน และได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อ ปริมาณ (ทั้งความต้องการใช้ และอุปทาน) และราคา ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ ฤดูกาล (สภาพอากาศร้อน / หนาวเย็น) สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ข้อตกลงระหว่างประเทศผู้ค้าน้ำมัน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความสนใจต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยในประเทศที่กระทบกับปริมาณและราคาพลังงานของประเทศนั้น ๆ เช่น เทศกาล นโยบายรัฐ เป็นต้น
ราคาขายน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละประเทศต่างกันเนื่องจาก แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุน หรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน รวมถึงเกรดน้ำมันที่มีความแตกต่างกันด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน และอีกหลายประเทศที่เป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจของโลกพบว่า ราคาน้ำมันในประเทศไทย อยู่ในระดับกลาง ๆ คือ ไม่ได้เป็นประเทศที่มีราคาน้ำมันแพงที่สุด และไม่ใช่ประเทศที่ราคาน้ำมันถูกที่สุด

ตัวอย่าง นโยบายยกเลิกการอุดหนุนน้ำมันดีเซลของมาเลเซีย
ปี 2523 (1980s) - 9 มิ.ย. 2567 มาเลเซียอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลแบบเหวี่ยงแห (Blanket Subsidy) โดยกำหนดราคาที่ 2.15 ริงกิต/ลิตร (ประมาณ 16.88 บาท) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ในปี 2566 รัฐใช้งบประมาณอุดหนุนราคาดีเซลไปถึงประมาณ 1.43 หมื่นล้านริงกิต (ประมาณ 1.12 แสนล้านบาท) หลังจากวันที่ 10 มิ.ย. 2567 รัฐบาลมาเลเซียได้ปล่อยราคาดีเซลลอยตัวตามราคาตลาด ภายใต้เพดานที่กำหนด (Managed Float) เพดานราคาขายปลีกดีเซลกำหนดเป็น 3.35 ริงกิต/ลิตร (ประมาณ 26.30 บาท) แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซียจะใช้มาตรการช่วยเหลือ / อุดหนุนแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย อาจจะแจกเงินกลุ่มเป้าหมายที่ใช้น้ำมันดีเซลกว่า 3 หมื่นราย เข้าบัญชีคนละ 200 ริงกิต/เดือน (ประมาณ 1,500 บาท) และอุดหนุนกลุ่มธุรกิจบางประเภท เช่น ขนส่งสาธารณะ และประมง สำหรับพื้นที่ที่รัฐบาลปล่อยลอยตัวราคาดีเซลคือ พื้นที่บนคาบสมุทรมลายู (ฝั่งที่ติดกับประเทศไทย) และผลจากมาตรการดังกล่าว คาดว่าลดการใช้งบประมาณได้ 4 พันล้านริงกิต/ปี (3.1 หมื่นล้านบาท)
จะเห็นได้ว่า การอุดหนุนราคาน้ำมันขายปลีกอย่างยาวนาน อาจจะไม่ใช่นโยบายที่ยั่งยืน และอาจเป็นภาระต่องบประมาณของประเทศ ตัวอย่างเช่น มาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันสุทธิ (Exporter) ที่ผ่านมาให้การอุดหนุนราคาน้ำมันมาโดยตลอดยังไม่สามารถดำเนินนโยบายนี้ต่อได้ ดังนั้น ประเทศไทยซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันกว่า 90% ควรพิจารณานโยบายการช่วยเหลือแบบเฉพาะกลุ่มน่าจะเหมาะสมกว่า